นิทรรศการของหน่วยงาน > กระทรวงแรงงาน
กระทรวงแรงงาน
Ministry of Labour

บทบาท/ภารกิจของกระทรวงแรงงาน

 

       กระทรวงแรงงานมีบทบาทสำคัญต่อการบริหารจัดการแรงงาน เพื่อส่งเสริมและพัฒนาแรงงานให้มีศักยภาพเพียงพอต่อการแข่งขันในเวทีโลก อีกทั้งพัฒนาความรู้ ฝีมือ และทักษะในการปฏิบัติงาน ควบคู่ไปกับการคุ้มครองแรงงานให้ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างเป็นธรรม มีหลักประกันในการดำรงชีวิตที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์กระทรวงแรงงาน ที่ต้องการให้แรงงานมีศักยภาพสูง มีงานทำและมีหลักประกันทางสังคมที่ดี โดยมีหน่วยงานในสังกัด ได้แก่ กรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงานประกันสังคม สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์กรมหาชน)

 

ผลการดำเนินงานที่สำคัญของกระทรวงแรงงาน

 

1. MOL Overseas Matching ขยายตลาดแรงงานไทยในต่างประเทศ

      ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 กระทรวงแรงงานมีเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ จำนวน 100,000 คน โดยจัดกิจกรรม MOL Overseas Matchingซึ่งเป็นการขยายโอกาสการมีงานทำของแรงงานไทยตามที่กระทรวงแรงงานได้ทำความตกลงไว้กับประเทศปลายทางต่างๆนับเป็นการขยายตลาดแรงงานเชิงรุก และบูรณาการร่วมกันของทุกกรม/สำนักงาน ในสังกัดกระทรวงแรงงาน โดยมีการดำเนินงาน ดังนี้

  1. ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศนำร่อง ซึ่งอาจเรียกว่า “ญี่ปุ่นโมเดล” โดยประเทศญี่ปุ่นอยู่ในภาวะขาดแคลนแรงงานจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการปรับปรุงระบบรับผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค การปรับเพิ่มสาขาอาชีพใหม่ในระบบผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค และเปิดรับแรงงานทักษะเฉพาะใน 16 สาขาอาชีพเพิ่มเติม และยังได้ประมาณการความต้องการแรงงานทักษะเฉพาะตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 ถึง 5 ปีข้างหน้า จำนวน 820,000 อัตรา ด้วยเหตุนี้กระทรวงแรงงาน จึงเล็งเห็นความสำคัญของการขยายตลาดแรงงานเชิงรุกในประเทศญี่ปุ่น จึงจัดให้มีกิจกรรม MOL Overseas Matching ซึ่งเป็นกิจกรรมหลักในการขยายตลาดแรงงานไทยเชิงรุกในประเทศญี่ปุ่น โดยกิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้องค์กรผู้ส่งไทยและองค์กรกำกับดูแลญี่ปุ่นพบปะเจรจาพูดคุยจนนำไปสู่การจัดทำข้อตกลงภายใต้ระบบผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคและการจ้างแรงงานไทยเพิ่มมากขึ้น และยังมีการการบรรยายเกี่ยวกับสถานการณ์แรงงานไทยในต่างประเทศ ความพร้อมในการจัดส่งแรงงานไทยจากผู้แทนกรมการจัดหางาน และแบ่งปันประสบการณ์/ความประทับใจการจ้างแรงงานไทยของนายจ้างญี่ปุ่นโดยองค์กร JITCO ผู้ร่วมจัดงาน รวมทั้ง มีการออกบูธแนะนำภารกิจที่เกี่ยวข้องของทุกกรม/สำนักงานสังกัดกระทรวงแรงงาน เพื่อให้องค์กรผู้ส่งไทยและองค์กรกำกับดูแลญี่ปุ่นได้รับความรู้ ความเข้าใจที่ชัดเจน และถูกต้องเกี่ยวกับการจัดส่งแรงงานไทยจากหน่วยงานภาครัฐ

      การจัดงาน MOL Overseas Matching ได้รับความอนุเคราะห์สนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และองค์กรความร่วมมือระหว่างผู้ฝึกงานและแรงงานฝีมือนานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan International Trainee & Skilled Worker Cooperation Organization: JITCO) รวมถึงได้รับเกียรติจากผู้แทนหน่วยงานภาครัฐญี่ปุ่นเข้าร่วมงาน ได้แก่ ผู้แทนสำนักงานบริหารการตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่น ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข แรงงานและสวัสดิการญี่ปุ่น ผู้แทนองค์กรฝึกงานด้านเทคนิคสำหรับชาวต่างชาติ (Organization for Technical Intern Training: OTIT) และผู้แทนองค์กรความร่วมมือระหว่างผู้ฝึกงานและแรงงานฝีมือนานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan International Trainee & Skilled Worker Cooperation Organization: JITCO)

     MOL Overseas Matching ณ ประเทศญี่ปุ่น มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้องค์กรผู้ส่งไทยและองค์กรกำกับดูแลญี่ปุ่นที่มาเข้าร่วมงานได้มีโอกาสพบปะเจรจาซึ่งจะช่วยกระตุ้นการขยายตลาดแรงงานไทยและการจ้างแรงงานไทยมาทำงานในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นโดยมีองค์กรผู้ส่งไทยเข้าร่วมงานในครั้งนี้จำนวน 21 บริษัท และองค์กรกำกับดูแลของญี่ปุ่น จำนวน 24 บริษัท ทั้งนี้จากการสำรวจภายในงานพบว่ามีความต้องการแรงงานไทยสูงถึง 2,027 อัตรา มากที่สุด คือ งานบริบาล โรงแรม ร้านอาหาร อุตสาหกรรม และก่อสร้าง ตามลำดับ ซึ่งภายหลังการจัดงานฯ กระทรวงแรงงานได้รับคำชื่นชมจากผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก และขอให้กระทรวงแรงงานจัดงานเช่นนี้ในปีต่อ ๆ ไป รวมถึงกระทรวงแรงงานมีกำหนดจัดกิจกรรม MOL Overseas Matching เพื่อขยายตลาดแรงงานเชิงรุกต่อไปในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงและเขตบริหารพิเศษมาเก๊า (ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568) และประเทศไต้หวัน (ช่วงเดือนมีนาคม 2568) และมีการวางแผนการดำเนินการไปยังประเทศอื่น ๆ ในอนาคตต่อไป

 
 

2. คณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบการจ้างงาน สภาพการจ้างงาน การบังคับใช้แรงงานหรือบริการและการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว (ชุดเฉพาะกิจไตรเทพพิทักษ์) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

     กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีนโยบายขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านแรงงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและความปลอดภัยพร้อมดูแลสิทธิ และสวัสดิการ บังคับใช้กฎหมายแรงงาน และตรวจคุ้มครองแรงงานทั้งระบบทั่วประเทศ โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงและเปราะบางต่อสถานการณ์การแสวงหาประโยชน์ หลอกลวง และบังคับใช้แรงงาน โดยยึดนโยบายให้หน่วยงานกระทรวงแรงงานมุ่งเน้นการทำงานใน 3 ด้าน คือ “ป้องกัน ปราบปราม ดำเนินคดี” อย่างเข้มข้นและจริงจัง และสั่งการให้จัดตั้ง “คณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบการจ้างงาน สภาพการจ้าง การบังคับใช้แรงงานหรือบริการ และการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว” หรือ “ชุดเฉพาะกิจไตรเทพพิทักษ์” โดยจัดตั้งตามคำสั่งคณะกรรมการกำกับการปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานผิดกฎหมาย ที่ 1/2567 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 เพื่อเป็นคณะทำงานบูรณาการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจากทีมสหวิชาชีพ ในฐานะชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว ในการป้องกันและปราบปรามการละเมิดกฎหมายแรงงาน การใช้แรงงานผิดกฎหมาย และจัดการปัญหาแย่งอาชีพคนไทยทั่วประเทศ โดยเน้นปฏิบัติหน้าที่ใน 2 รูปแบบ คือ 1) ป้องกันและสร้างความตระหนักรู้แก่ชุมชนและพื้นที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจ้างงานอย่างถูกต้องและความผิดของการละเมิดกฎหมายแรงงาน และ 2) ปราบปรามดำเนินคดีผู้กระทำความผิด เพื่อลดการเกิดซ้ำของการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน ให้ความคุ้มครองแก่ผู้เสียหาย และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นและจริงจัง ส่งต่อผู้กระทำผิดไปสู่การดำเนินคดี และคุ้มครองบุคคลที่อาจจะตกเป็นผู้เสียหายจากการแสวงหาประโยชน์หรือละเมิดสิทธิตามหลักกลไกการส่งต่อระดับชาติ (National Referral Mechanism: NRM) ให้เกิดความยุติธรรมในทุกพื้นที่ โดยเริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เดือนมกราคม - กันยายน 2568

3. กระทรวงแรงงานบูรณาการร่วมกันช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้

       จากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ในพื้นที่ 11 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช สงขลา สุราษฎร์ธานี ยะลา ปัตตานี นราธิวาส พัทลุง สตูล ตรัง ชุมพร และระนอง รัฐบาลภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้แต่ละกระทรวงที่มีความพร้อมลงพื้นที่ดูแลช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างเร่งด่วน กระทรวงแรงงานโดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ จึงได้สั่งการให้หน่วยงาน สังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่บูรณาการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทั้งสนับสนุนสิ่งของ เช่น อาหาร น้ำดื่ม ถุงยังชีพ เครื่องอุปโภคบริโภคของใช้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น พร้อมสนับสนุนกำลังเจ้าหน้าที่ร่วมกับทางจังหวัด รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

     จากความห่วงใยดังกล่าว นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจพร้อมมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดสงขลา พัทลุง และสตูล และมอบหมายให้นายสิรภพดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยนายนัจมุดดีน อูมา ประธานคณะทำงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพให้ผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาสรวมทั้งมอบหมายให้ นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพให้ผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดนครศรีธรรมราช และได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการกระทรวงแรงงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ รวมทั้งเปิดโรงครัวกระทรวงแรงงาน ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช

     ทั้งนี้กระทรวงแรงงานยังได้ดำเนินการภายใต้มาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยใน 3 ระยะ ทั้งก่อนเกิดภัยได้มีการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนในการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและการเตรียมแผนการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยระหว่างเกิดภัย เช่น ได้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการติดตามสถานการณ์ และให้ความช่วยเหลือเพื่อสำรวจความเสียหายและความต้องการความช่วยเหลือสนับสนุนกำลังเจ้าหน้าที่ การลงพื้นที่มอบถุงยังชีพ การมอบเงินช่วยเหลือต่างๆเพื่อสร้างขวัญกำลังใจระยะการฟื้นฟูภายหลังน้ำลดเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาประกอบอาชีพได้ตามปกติ โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านอาชีพ ระดมช่างฝีมือเพื่อให้บริการ ซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า ระบบไฟฟ้าภายในบ้าน พาหนะ เครื่องจักรกลทางการเกษตร และซ่อมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากการถูกน้ำท่วม การให้กู้ยืมเงินจากกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน การจ่ายเงินเยียวยากรณีว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย การจัดกิจกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพ เพื่อให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคงโดยกระทรวงแรงงาน พร้อมให้การดูแลช่วยเหลือและยืนหยัดอยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชนทุกคนในทุกสถานการณ์เพราะแรงงานทุกคนเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เจริญเติบโตต่อไป

บทบาท/ภารกิจของกระทรวงแรงงาน

 

       กระทรวงแรงงานมีบทบาทสำคัญต่อการบริหารจัดการแรงงาน เพื่อส่งเสริมและพัฒนาแรงงานให้มีศักยภาพเพียงพอต่อการแข่งขันในเวทีโลก อีกทั้งพัฒนาความรู้ ฝีมือ และทักษะในการปฏิบัติงาน ควบคู่ไปกับการคุ้มครองแรงงานให้ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างเป็นธรรม มีหลักประกันในการดำรงชีวิตที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์กระทรวงแรงงาน ที่ต้องการให้แรงงานมีศักยภาพสูง มีงานทำและมีหลักประกันทางสังคมที่ดี โดยมีหน่วยงานในสังกัด ได้แก่ กรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงานประกันสังคม สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์กรมหาชน)

 

ผลการดำเนินงานที่สำคัญของกระทรวงแรงงาน

 

1. MOL Overseas Matching ขยายตลาดแรงงานไทยในต่างประเทศ

      ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 กระทรวงแรงงานมีเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ จำนวน 100,000 คน โดยจัดกิจกรรม MOL Overseas Matchingซึ่งเป็นการขยายโอกาสการมีงานทำของแรงงานไทยตามที่กระทรวงแรงงานได้ทำความตกลงไว้กับประเทศปลายทางต่างๆนับเป็นการขยายตลาดแรงงานเชิงรุก และบูรณาการร่วมกันของทุกกรม/สำนักงาน ในสังกัดกระทรวงแรงงาน โดยมีการดำเนินงาน ดังนี้

  1. ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศนำร่อง ซึ่งอาจเรียกว่า “ญี่ปุ่นโมเดล” โดยประเทศญี่ปุ่นอยู่ในภาวะขาดแคลนแรงงานจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการปรับปรุงระบบรับผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค การปรับเพิ่มสาขาอาชีพใหม่ในระบบผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค และเปิดรับแรงงานทักษะเฉพาะใน 16 สาขาอาชีพเพิ่มเติม และยังได้ประมาณการความต้องการแรงงานทักษะเฉพาะตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 ถึง 5 ปีข้างหน้า จำนวน 820,000 อัตรา ด้วยเหตุนี้กระทรวงแรงงาน จึงเล็งเห็นความสำคัญของการขยายตลาดแรงงานเชิงรุกในประเทศญี่ปุ่น จึงจัดให้มีกิจกรรม MOL Overseas Matching ซึ่งเป็นกิจกรรมหลักในการขยายตลาดแรงงานไทยเชิงรุกในประเทศญี่ปุ่น โดยกิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้องค์กรผู้ส่งไทยและองค์กรกำกับดูแลญี่ปุ่นพบปะเจรจาพูดคุยจนนำไปสู่การจัดทำข้อตกลงภายใต้ระบบผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคและการจ้างแรงงานไทยเพิ่มมากขึ้น และยังมีการการบรรยายเกี่ยวกับสถานการณ์แรงงานไทยในต่างประเทศ ความพร้อมในการจัดส่งแรงงานไทยจากผู้แทนกรมการจัดหางาน และแบ่งปันประสบการณ์/ความประทับใจการจ้างแรงงานไทยของนายจ้างญี่ปุ่นโดยองค์กร JITCO ผู้ร่วมจัดงาน รวมทั้ง มีการออกบูธแนะนำภารกิจที่เกี่ยวข้องของทุกกรม/สำนักงานสังกัดกระทรวงแรงงาน เพื่อให้องค์กรผู้ส่งไทยและองค์กรกำกับดูแลญี่ปุ่นได้รับความรู้ ความเข้าใจที่ชัดเจน และถูกต้องเกี่ยวกับการจัดส่งแรงงานไทยจากหน่วยงานภาครัฐ

      การจัดงาน MOL Overseas Matching ได้รับความอนุเคราะห์สนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และองค์กรความร่วมมือระหว่างผู้ฝึกงานและแรงงานฝีมือนานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan International Trainee & Skilled Worker Cooperation Organization: JITCO) รวมถึงได้รับเกียรติจากผู้แทนหน่วยงานภาครัฐญี่ปุ่นเข้าร่วมงาน ได้แก่ ผู้แทนสำนักงานบริหารการตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่น ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข แรงงานและสวัสดิการญี่ปุ่น ผู้แทนองค์กรฝึกงานด้านเทคนิคสำหรับชาวต่างชาติ (Organization for Technical Intern Training: OTIT) และผู้แทนองค์กรความร่วมมือระหว่างผู้ฝึกงานและแรงงานฝีมือนานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan International Trainee & Skilled Worker Cooperation Organization: JITCO)

     MOL Overseas Matching ณ ประเทศญี่ปุ่น มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้องค์กรผู้ส่งไทยและองค์กรกำกับดูแลญี่ปุ่นที่มาเข้าร่วมงานได้มีโอกาสพบปะเจรจาซึ่งจะช่วยกระตุ้นการขยายตลาดแรงงานไทยและการจ้างแรงงานไทยมาทำงานในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นโดยมีองค์กรผู้ส่งไทยเข้าร่วมงานในครั้งนี้จำนวน 21 บริษัท และองค์กรกำกับดูแลของญี่ปุ่น จำนวน 24 บริษัท ทั้งนี้จากการสำรวจภายในงานพบว่ามีความต้องการแรงงานไทยสูงถึง 2,027 อัตรา มากที่สุด คือ งานบริบาล โรงแรม ร้านอาหาร อุตสาหกรรม และก่อสร้าง ตามลำดับ ซึ่งภายหลังการจัดงานฯ กระทรวงแรงงานได้รับคำชื่นชมจากผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก และขอให้กระทรวงแรงงานจัดงานเช่นนี้ในปีต่อ ๆ ไป รวมถึงกระทรวงแรงงานมีกำหนดจัดกิจกรรม MOL Overseas Matching เพื่อขยายตลาดแรงงานเชิงรุกต่อไปในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงและเขตบริหารพิเศษมาเก๊า (ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568) และประเทศไต้หวัน (ช่วงเดือนมีนาคม 2568) และมีการวางแผนการดำเนินการไปยังประเทศอื่น ๆ ในอนาคตต่อไป

 
 

2. คณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบการจ้างงาน สภาพการจ้างงาน การบังคับใช้แรงงานหรือบริการและการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว (ชุดเฉพาะกิจไตรเทพพิทักษ์) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

     กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีนโยบายขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านแรงงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและความปลอดภัยพร้อมดูแลสิทธิ และสวัสดิการ บังคับใช้กฎหมายแรงงาน และตรวจคุ้มครองแรงงานทั้งระบบทั่วประเทศ โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงและเปราะบางต่อสถานการณ์การแสวงหาประโยชน์ หลอกลวง และบังคับใช้แรงงาน โดยยึดนโยบายให้หน่วยงานกระทรวงแรงงานมุ่งเน้นการทำงานใน 3 ด้าน คือ “ป้องกัน ปราบปราม ดำเนินคดี” อย่างเข้มข้นและจริงจัง และสั่งการให้จัดตั้ง “คณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบการจ้างงาน สภาพการจ้าง การบังคับใช้แรงงานหรือบริการ และการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว” หรือ “ชุดเฉพาะกิจไตรเทพพิทักษ์” โดยจัดตั้งตามคำสั่งคณะกรรมการกำกับการปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานผิดกฎหมาย ที่ 1/2567 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 เพื่อเป็นคณะทำงานบูรณาการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจากทีมสหวิชาชีพ ในฐานะชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว ในการป้องกันและปราบปรามการละเมิดกฎหมายแรงงาน การใช้แรงงานผิดกฎหมาย และจัดการปัญหาแย่งอาชีพคนไทยทั่วประเทศ โดยเน้นปฏิบัติหน้าที่ใน 2 รูปแบบ คือ 1) ป้องกันและสร้างความตระหนักรู้แก่ชุมชนและพื้นที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจ้างงานอย่างถูกต้องและความผิดของการละเมิดกฎหมายแรงงาน และ 2) ปราบปรามดำเนินคดีผู้กระทำความผิด เพื่อลดการเกิดซ้ำของการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน ให้ความคุ้มครองแก่ผู้เสียหาย และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นและจริงจัง ส่งต่อผู้กระทำผิดไปสู่การดำเนินคดี และคุ้มครองบุคคลที่อาจจะตกเป็นผู้เสียหายจากการแสวงหาประโยชน์หรือละเมิดสิทธิตามหลักกลไกการส่งต่อระดับชาติ (National Referral Mechanism: NRM) ให้เกิดความยุติธรรมในทุกพื้นที่ โดยเริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เดือนมกราคม - กันยายน 2568

3. กระทรวงแรงงานบูรณาการร่วมกันช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้

       จากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ในพื้นที่ 11 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช สงขลา สุราษฎร์ธานี ยะลา ปัตตานี นราธิวาส พัทลุง สตูล ตรัง ชุมพร และระนอง รัฐบาลภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้แต่ละกระทรวงที่มีความพร้อมลงพื้นที่ดูแลช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างเร่งด่วน กระทรวงแรงงานโดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ จึงได้สั่งการให้หน่วยงาน สังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่บูรณาการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทั้งสนับสนุนสิ่งของ เช่น อาหาร น้ำดื่ม ถุงยังชีพ เครื่องอุปโภคบริโภคของใช้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น พร้อมสนับสนุนกำลังเจ้าหน้าที่ร่วมกับทางจังหวัด รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

     จากความห่วงใยดังกล่าว นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจพร้อมมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดสงขลา พัทลุง และสตูล และมอบหมายให้นายสิรภพดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยนายนัจมุดดีน อูมา ประธานคณะทำงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพให้ผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาสรวมทั้งมอบหมายให้ นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพให้ผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดนครศรีธรรมราช และได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการกระทรวงแรงงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ รวมทั้งเปิดโรงครัวกระทรวงแรงงาน ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช

     ทั้งนี้กระทรวงแรงงานยังได้ดำเนินการภายใต้มาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยใน 3 ระยะ ทั้งก่อนเกิดภัยได้มีการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนในการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและการเตรียมแผนการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยระหว่างเกิดภัย เช่น ได้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการติดตามสถานการณ์ และให้ความช่วยเหลือเพื่อสำรวจความเสียหายและความต้องการความช่วยเหลือสนับสนุนกำลังเจ้าหน้าที่ การลงพื้นที่มอบถุงยังชีพ การมอบเงินช่วยเหลือต่างๆเพื่อสร้างขวัญกำลังใจระยะการฟื้นฟูภายหลังน้ำลดเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาประกอบอาชีพได้ตามปกติ โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านอาชีพ ระดมช่างฝีมือเพื่อให้บริการ ซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า ระบบไฟฟ้าภายในบ้าน พาหนะ เครื่องจักรกลทางการเกษตร และซ่อมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากการถูกน้ำท่วม การให้กู้ยืมเงินจากกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน การจ่ายเงินเยียวยากรณีว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย การจัดกิจกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพ เพื่อให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคงโดยกระทรวงแรงงาน พร้อมให้การดูแลช่วยเหลือและยืนหยัดอยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชนทุกคนในทุกสถานการณ์เพราะแรงงานทุกคนเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เจริญเติบโตต่อไป

กระทรวงแรงงาน
ถนนมิตรไมตรี แขวงดินแดง เขตดินแดง กทม. 10400
โทรศัพท์: สายด่วน : 1506 / บริการรับเรื่องร้องทุกข์ ร้องเรียน : 0 2232 1462-3 / เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ : 0 2232 1471
โทรสาร: 0 9838 39611
อีเมล: saraban.mol@mol.mail.go.th
นิทรรศการของหน่วยงานอื่นๆ
Background Desktop Background Mobile